วันเสาร์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ในหลวง กับ ดนตรี

 

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับการดนตรี
          พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงเป็นสังคีตกวีและนักดนตรีที่ชาวโลกยกย่อง ทรงพระปรีชาสามารถในการทรงดนตรี ทรงพระราชนิพนธ์เพลง แยกและเรียบเรียงเสียงประสาน ทรงเป็นครูสอนดนตรีแก่ข้าราชบริพารใกล้ชิด     และทรงซ่อมเครื่องดนตรีได้ด้วย   ตลอดจนทรงเชี่ยวชาญในศิลปะแขนงต่างๆ อย่างแท้จริง สมกับที่พสกนิกรชาวไทยน้อมเกล้าฯ ถวายพระราชสมัญญา  “อัครศิลปิน” 
          พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเริ่มเรียนดนตรีเมื่อมีพระชนมายุ ๑๓ พรรษา  ขณะที่ประทับอยู่ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ กับครูชาวอัลซาส ชื่อ นายเวย์เบรชท์ โดยทรงเรียนการเป่า แซกโซโฟน วิชาการดนตรี การเขียนโน้ต และการบรรเลงดนตรีสากลต่างๆในแนวดนตรีคลาสสิค เป็นเบื้องต้น ต่อมาจึงเริ่มฝึกดนตรีแจ๊ส โดยทรงหัดเป่าแซกโซโฟนสอดแทรกกับแผ่นเสียงของ
นักดนตรีที่มีชื่อเสียงได้เป็นอย่างดี เช่น Johnny Hodges และ Sidney Berchet เป็นต้น จนทรงมีความชำนาญ สอดแทรกกับแผ่นเสียงของนักดนตรีที่มีชื่อเสียงได้เป็นอย่างดี และทรงโปรดดนตรีประเภท Dixieland Jazz เป็นอย่างมาก
           พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเครื่องดนตรีได้ดีหลายชนิด ทั้งประเภทเครื่องลม เช่น แซกโซโฟน คลาริเนต และประเภทเครื่องทองเหลือง เช่น ทรัมเป็ต รวมทั้งเปียโน และกีตาร์ ที่ทรงฝึกเพิ่มเติมในภายหลัง เพื่อประกอบการพระราชนิพนธ์เพลง และเพื่อทรงดนตรีร่วมกับวงดนตรีส่วนพระองค์
          พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเริ่มพระราชนิพนธ์เพลงเมื่อมีพระชนมพรรษาได้ ๑๘ พรรษา ในปีพุทธศักราช ๒๔๘๙ ทรงพระราชนิพนธ์ทำนองเพลง “แสงเทียน” เป็นเพลงพระราชนิพนธ์เพลงแรก และจนถึงปัจจุบันมีเพลงพระราชนิพนธ์ทั้งสิ้น ๔๘ เพลง ทุกเพลงล้วนมีทำนองไพเราะประทับใจผู้ฟัง สอดคล้องกับเนื้อร้อง ซึ่งมีคตินานัปการ และเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของชีวิตคนไทย ในยามที่บ้านเมืองไม่สงบสุข ก็พระราชทานเพลงปลุกใจเพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่
ข้าราชการ ทหาร พลเรือน และประชาชน ผู้ปฏิบัติหน้าที่เพื่อประเทศชาติ มิให้เกิดความย่อท้อในการทำความดีต่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ต่อตนเองและสังคม
         
          พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงใช้ดนตรีให้เป็นประโยชน์ทางอ้อมในหลายด้าน อาทิ ทรงใช้เครื่องดนตรีเป็นสื่อผูกพันสถาบันพระมหากษัตริย์กับนิสิตนักศึกษา โดยเสด็จ ฯ ไปทรงดนตรีร่วมกับนิสิตนักศึกษามหาวิทยาลัยต่างๆ อยู่นาน
กว่า ๑๐ ปี

          ในคราวเสด็จเยือนต่างประเทศ ก็ทรงใช้ดนตรีเป็นสื่อกระชับสัมพันธไมตรีระหว่างประเทศกับนานาประเทศได้อย่างแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น พระปรีชาสมารถด้านดนตรีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นที่ชื่นชมของชาวต่างประเทศ จนกระทั่งปีพ.ศ ๒๕๐๗ สถาบันการดนตรีและศิลปะการแสดงแห่งกรุงเวียนนา(ปัจจุบันเปลี่ยนฐานะเป็นมหาวิทยาลัยการดนตรีและศิลปะการแสดง) ได้ทูลเกล้า ฯ ถวายประกาศนียบัตร   และสมาชิกกิตติมศักดิ์ลำดับที่ ๒๓    แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
พระบรมนามาภิไธย “ภูมิพลอดุลยเดช” ปรากฏอยู่บนแผ่นจำหลักหินของสถาบัน ทรงเป็นสมาชิกกิตติมศักดิ์ที่มีอายุน้อยที่สุด และเป็นชาวเอเชียเพียงผู้เดียวที่ได้รับเกียรติอันสูงสุดนี้ พระอัจฉริยภาพด้านดนตรีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นที่ชื่นชมไม่เพียงในประเทศไทยเท่านั้น นักดนตรีต่างประเทศทั่วโลกก็ชื่นชม และยอมรับในพระอัจฉริยภาพนี้

           นอกจากจะทรงพระปรีชาสามารถในการพระราชนิพนธ์เพลงและทรงดนตรีแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ยังทรงเป็น “ครูใหญ่”
สอนดนตรีแก่ แพทย์ ราชองครักษ์ และ ข้าราชการผู้ปฏิบัติราชการใกล้ชิดพระยุคลบาทในช่วงที่เสด็จเยี่ยมราษฎรในภูมิภาคต่างๆ ตลอดจน
ข้าราชบริพารในพระองค์ซึ่งส่วนใหญ่เล่นดนตรีไม่เป็นเลย จนเล่นดนตรีเป็น อ่านโน้ตได้ และสามารถบรรเลงในโอกาสพิเศษต่างๆ ได้ ต่อมาจึงได้เกิดแตรวง “วงสหายพัฒนา” โดยมีสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเป็นหัวหน้าวง
          ในด้านดนตรีไทย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชประสงค์ที่จะอนุรักษ์ดนตรีไทยและนาฏยศิลป์ไทยไว้ให้คงอยู่คู่ชาติไทยตลอดไป โดยมีพระราชกระแสรับสั่งให้นักดนตรีไทยช่วยกันรักษาระดับเสียงของดนตรีไทยไว้เพื่อเป็นมาตรฐานของวงดนตรีรุ่นหลัง ได้พระราชทานทุนทรัพย์ส่วนพระองค์ให้กรมศิลปากรจัดพิมพ์หนังสือ “โน้ตเพลงไทย เล่ม ๑” เพื่อรวบรวมและรักษาศิลปะทางดนตรีไทยไว้ให้เป็นหลักฐานและมาตรฐานต่อไป และทรงสนับสนุนให้มีการค้นคว้าวิจัยบันไดเสียงของดนตรีไทย โดยใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์
          นอกจากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้จัดพิธีครอบประธานครูโขนละคร และต่อ กระบวนรำเพลงหน้าพาทย์องค์พระพิราพ ซึ่งเป็นเพลงหน้าพาทย์ชั้นสูงในวิชาดนตรีและนาฏยศิลป์ไทยอีกด้วย ซึ่งกิจกรรมทั้ง ๒ อย่างนั้น ดำเนินมาจนถึงจุดที่ใกล้จะสูญสิ้นแล้ว จึงนับได้ว่าทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่อนุรักษ์ศิลปะของไทยเพื่อให้เป็นมรดกของชาติสืบต่อไป
          พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นสังคีตกวีแห่งราชวงศ์จักรีพระองค์นี้ ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจ “เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”แม้ด้านดนตรีก็มิได้เว้น

พระมหากษัตริย์นักดนตรี
        
        มีเรื่องเล่ากันมาว่า นักดนตรีเอกของโลกได้กล่าวถึงพระปรีชาสามารถในการทรงดนตรีว่า หากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มิได้ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ ก็จะต้องทรงเป็นพระราชานักดนตรีของโลก แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นทั้งพระมหากษัตริย์ และทรงเป็นนักดนตรีได้พร้อมกัน
        พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีความสนพระราชหฤทัยในด้านดนตรีมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ดังที่ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ในบทพระนิพนธ์ “เจ้านายเล็กๆยุวกษัตริย์” ความตอนหนึ่งว่า

        “เมื่อถึงเวลาสนพระทัยแผ่นเสียงก็แข่งกันอีก รัชกาลที่ ๘ ทรงเลือก Louis Armstrong, Sidney Berchet รัชกาลที่ ๙ ทรงเลือก Duke Ellington Count Banc เกี่ยวกับการซื้อแผ่นเสียงนี้ ถ้าเป็นแจ๊สต้องซื้อเอง ถ้าเป็นคลาสสิคเบิกได้”
            “สิ่งที่ทรงเล่นมาด้วยกันเป็นเวลานานคือดนตรี รัชกาลที่ ๘ ทรงเริ่มด้วยเปียโนเพราะเห็นข้าพเจ้าเรียนอยู่ รัชกาลที่ ๙ ขอเล่นหีบเพลง (accordion) เรียนอยู่ไม่กี่ครั้งก็ทรงเลิก “เพราะไม่เข้ากับเปียโน” แล้วรัชกาลที่ ๘ ก็ทรงเลิกเรียนเปียโนไป เมื่ออยู่อาโรซ่า เวลาหน้าหนาว ได้ทอดพระเนตรวงดนตรีวงใหญ่ที่เล่นอยู่ที่โรงแรม รู้สึกอยากเล่นกัน ทรงหาแซกโซโฟนที่เป็นของใช้แล้ว (second hand) มาได้ ราคา ๓๐๐ แฟรงค์ แม่ออกให้ครึ่งหนึ่งและสโมสรปาตาปุมออกให้อีกครึ่งหนึ่ง เมื่อครูมาสอนที่บ้าน รัชกาลที่ ๘ ทรงดันพระอนุชาเข้าไปในห้องเรียน รัชกาลที่ ๙ จึงเป็นผู้ริเริ่ม เมื่อเรียนไปแล้ว ๒-๓ ครั้ง รัชกาลที่ ๘ ทรงซื้อแคลริเน็ต (clarinet) ส่วนพระองค์ วันเรียน ครูสอนองค์ละ ๓๐ นาที แล้วครูก็เอาแซกโซโฟน (saxophone) ของเขาออกมาและเล่นด้วยกันทั้ง ๓ เป็น Trio”
        ครูสอนดนตรี ซึ่ง สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงเล่าไว้นี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ในบทพระราชนิพนธ์ “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงศึกษาดนตรี” เช่นกัน มีความว่า
        “....ครูสอนดนตรีชื่อนายเวย์เบรชท์ (Weybrecht) เป็นชาวอัลซาส (Alsace) ซึ่งเป็นแคว้นของฝรั่งเศสที่พูดภาษาเยอรมัน เวลาพูดภาษาฝรั่งเศสยังมีสำเนียงภาษาเยอรมันติดมาบ้าง นายเวย์เบรชท์ทำงานอยู่ร้านขายเครื่องดนตรี (ขายทุก ๆ ยี่ห้อ) และยังเป็นนักเป่าแซกโซโฟนอยู่ในวงของสถานีวิทยุ เขาเล่นดนตรีได้หลายอย่าง รวมทั้งแคลริเน็ตด้วย...นอกจากการเล่นดนตรีแล้ว ครูยังสอนวิชาการดนตรีให้ด้วย รวมทั้งการเขียนโน้ตสากลต่าง ๆ ”
         ในบทพระราชนิพนธ์ “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงศึกษาดนตรี” ยังทรงเล่าความเกี่ยวกับความสนพระราชหฤทัยในการทรงศึกษาเครื่องดนตรีชนิดอื่น ๆ ได้แก่ แตร เปียโน กีตาร์ และขลุ่ย ดังนี้
        “...สำหรับแตรนั้นสนพระราชหฤทัยจึงไปเช่ามาเป็นแตรคอร์เน็ต อีกหลายปีจึงทรงซื้อเอง ดูเหมือนว่าแตรทรัมเป็ตเครื่องแรกที่ทรงซื้อจะ
เป็นแตรยี่ห้อเซลเมอร์ สั่งซื้อจากอังกฤษ แต่เป็นของฝรั่งเศส (เครื่องนี้พระราชทานวงสุนทราภรณ์ไป) จึงซื้อใหม่ยี่ห้อเซลเมอร์เหมือนกัน
ครูเวย์เบรชท์บอกว่าแตรดีที่สุดคือยี่ห้อกูร์ตัว แต่ไม่ได้ทรงซื้อ...”
         “… สำหรับเครื่องดนตรีต่างๆที่ทรงเล่น มีเปียโน ไม่เคยทรงเรียนจริงจังจากใคร เล่นเอาเอง ดูโน้ต เรียนวิธีประสานเสียง กีตาร์ ทรงเล่นเมื่อพระชนม์ราว ๑๖ พรรษา เพื่อนที่โรงเรียนเป็นรุ่นพี่อายุมากกว่า ให้ยืมเล่น ภายหลังไปเอาคืน เขาเห็นว่าสนใจจึงให้เลย  ขลุ่ย ทรงเล่นเมื่อพระชนม์ประมาณ ๑๖-๑๗ พรรษา เห็นว่าราคาไม่แพงนัก เล่นไม่ยาก นิ้วคล้ายๆแซกโซโฟน...ตอนหลังเคยเห็นทรงเล่นไวโอลินด้วย
คิดว่าทรงเล่นเอาเองไม่มีครูสอนดนตรี …”
         นอกจากจะทรงศึกษาวิชาดนตรีจากพระอาจารย์ชาวต่างประเทศในต่างประเทศ แต่เมื่อยังทรงพระเยาว์แล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังทรงได้รับการแนะนำการดนตรีจาก พระเจนดุริยางค์ ชาวต่างชาติที่เข้ามารับราชการในประเทศไทย ดังที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระราชนิพนธ์ไว้เช่นกันว่า
        “...คุณพระเจนดุริยางค์ เป็นอีกท่านที่กราบบังคมแนะนำเกี่ยวกับดนตรี โปรดคุณพระเจน ฯม าก ทรงพิมพ์ตำราที่คุณพระเจน ฯ ประพันธ์ขึ้นทุกเล่ม ระหว่างการพิมพ์และตรวจปรู๊ฟได้ความรู้เกี่ยวกับดนตรีมาก ส่วนไหนที่ไม่เข้าพระทัยก็มีรับสั่งถามคุณพระเจน ฯ เรื่องการพิมพ์หนังสือนี้ คุณแก้วขวัญ วัชโรทัย เลขาธิการพระราชวังคนปัจจุบันทราบดี เพราะเป็นผู้ที่ทรงมอบหมายให้ดำเนินการ ได้ทราบว่าคุณพระเจน ฯ ก็ปรารภว่า ในด้านทฤษฎีไม่ทรงทราบมากนัก แต่ทำไมเคาะเสียงถูกต้องทุกที “
        นอกจากทรงเล่นดนตรีแล้ว ยังทรงสอนดนตรีให้ผู้อื่นเล่นด้วย เคยเล่าพระราชทานว่า
        “ได้สอนคนตาบอดเล่นดนตรี สอนลำบากเพราะเขาไม่เห็นท่าทาง เมื่อพยายามอธิบายจนเข้าใจสามารถเป่าออกมาเป็นเพลงไพเราะได้ หรือแม้แต่โน้ตเดียวในตอนแรก ดูสีหน้าเขาแสดงความพอใจและภูมิใจมาก”
        ทรงแนะนำวิธีการเล่นดนตรีพระราชทานผู้อื่นที่มาเล่นดนตรีถวาย หรือเล่นร่วมวง ดูเหมือนจะเคยมีรับสั่งว่า การเล่นดนตรีทำให้เกิดความสามัคคีเป็นนักดนตรีเหมือนกัน
         
          ในส่วนที่ทรงพระราชนิพนธ์เพลงนั้น ทรงเริ่มอย่างจริงจังเมื่อมีพระชนมายุ ๑๘ พรรษา ขณะเมื่อยังทรงดำรงพระยศเป็นสมเด็จพระอนุชาตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เสด็จนิวัตพระนคร เมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๘๘ ดังที่พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ บันทึกความไว้ดังนี้
        “๕ ธันวาคม ๒๔๘๘ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๘ เสด็จนิวัตสู่ประเทศไทยพร้อมสมเด็จพระอนุชา และสมเด็จพระราชชนนีประทับ ณ พระที่นั่งบรมพิมาน ในพระบรมมหาราชวัง ได้โปรดเกล้า ฯ ให้เข้าฝ้าในฐานะนักแต่งเพลงสมัครเล่น ได้นำโน้ตที่ได้แต่งไว้แล้วถวายทอดพระเนตร พระราชทานข้อแนะนำเกี่ยวกับการแต่งเพลงประเภทบลูส์ โดยทรงเปียโนสาธิตให้ฟัง และสมเด็จพระอนุชามาใส่คำร้อง เพลงแสงเทียน ยามเย็น สายฝน ตามลำดับ แต่เพลงยามเย็นและเพลงสายฝนได้นำออกสู่ประชาชนก่อนเพลงแสงเทียน โดยพระราชทานให้ออกบรรเลงในงานลีลาศที่สวนอัมพรโดยวงดนตรีของกรมโฆษณาการ (กรมประชาสัมพันธ์) ควบคุมวงโดย เอื้อ สุนทรสนาน และออกอากาศทางวิทยุ กรมโฆษณาการเป็นประจำ เป็นที่ซาบซึ้ง และประทับใจพสกนิกรอย่างมาก....”
                  “..จากนั้นฉันก็แต่งขึ้นอีกเรื่อยๆ จนบัดนี้รวมทั้ง ๔๐ เพลง ในระยะเวลา ๒๐ ปี คิดเฉลี่ยปีละ ๒ เพลง ที่ทำได้ก็เพราะได้รับการ
สนับสนุนจากนักดนตรี นักเพลงและนักร้อง รวมทั้งประชาชนผู้ฟังต่างก็แสดงความพอใจและความนิยมพอควร
จึงเป็นกำลังใจให้แก่ฉันเรื่อยมา...”

         เพลงพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงพระราชนิพนธ์ทำนองเพลงแล้วจึงใส่คำร้องภาษาอังกฤษด้วยพระองค์เองได้แก่Echo, Still on My Mind, Old Fashioned Melody, No Moon และ Dream Island ที่ทรงพระราชนิพนธ์ทำนองจากคำร้องภาษาไทย ได้แก่ เพลงความฝันอันสูงสุด และเราสู้ นอกจากนั้น ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทรงพระราชนิพนธ์ทำนอง และโปรดเกล้า ฯ ให้มีผู้แต่งคำร้องประกอบเพลงพระราชนิพนธ์หลายท่าน ได้แก่ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ ศาสตราจารย์ ท่านผู้หญิงนพคุณ ทองใหญ่ ณ อยุธยา ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร ท่านผู้หญิงสมโรจน์ สวัสดิกุล ณ อยุธยา นายศุภร ผลชีวิน นายจำนง ราชกิจ (จรัล บุณยรัตนพันธุ์) หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช และท่านผู้หญิงมณีรัตน์ บุนนาค เพลงพระราชนิพนธ์ ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๙-๒๕๓๘ มี ๔๘ เพลง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีความรู้อย่างแตกฉานในทฤษฎีการประพันธ์ ทรงเป็นผู้นำในด้านการประพันธ์ทำนองเพลงสากลของเมืองไทย โดยทรงใส่คอร์ดดนตรีที่แปลกใหม่และซับซ้อนทำให้เกิดเสียงประสานที่เข้มข้นในดนตรี เมื่อประกอบกับลีลาจังหวะเต้นรำที่หลากหลาย ทำให้ทรงพระราชนิพนธ์เพลงบรรเลงได้อย่างไพเราะหลายบท กลายเป็นเพลงอมตะของไทยในปัจจุบัน นอกจากนี้ยังทรงมีจินตนาการสร้างสรรค์ไม่ซ้ำแบบผู้ใด และแปลกใหม่อยู่ตลอดเวลา
        เพลงพระราชนิพนธ์แต่ละเพลงนั้น ล้วนแสดงออกถึงพระมหากรุณาธิคุณที่มีต่อพสกนิกรทุกหมู่เหล่าโดยถ้วนหน้า เช่น เพลงยามเย็น
พระราชทานแก่สมาคมปราบวัณโรค เพื่อนำออกแสดงเก็บเงินบำรุงการกุศล เพลงใกล้รุ่ง บรรเลงเป็นปฐมฤกษ์ในงานของสมาคมเลี้ยงไก่แห่งประเทศไทย เพลงยิ้มสู้ พระราชทานแก่โรงเรียนสอนคนตาบอด เพลงลมหนาว พระราชทานในงานประจำปีของสมาคมนักเรียนเก่าอังกฤษในพระบรมราชูปถัมภ์ เพลงพรปีใหม่ พระราชทานแก่พสกนิกรเนื่องในวันปีใหม่ เพลงเกิดเป็นไทยตายเพื่อไทย เพลงความฝันอันสูงสุดและเพลงเราสู้ พระราชทานแก่ผู้ปฏิบัติหน้าที่เพื่อประเทศชาติ Kinari Suite พระราชทานเพื่อใช้ประกอบการแสดงบัลเล่ต์ชุดมโนราห์ และมีเพลงประจำสถาบันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทาน ได้แก่ เพลงมหาจุฬาลงกรณ์ เพลงธรรมศาสตร์ เพลงเกษตรศาสตร์ เพลงธงชัยเฉลิมพล ราชวัลลภ และ  ราชนาวิกโยธิน
        พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้มีการรวมนักดนตรีสมัครเล่นมารวมกันตั้งเป็นวงขึ้นเป็นครั้งแรก ขณะที่ทรงประทับ ณ พระที่นั่งอัมพรสถานประกอบด้วยพระราชวงศ์ผู้ใหญ่ที่ทรงคุ้นเคย และเมื่อโปรดเกล้า ฯ ให้จัดตั้งสถานีวิทยุ อ.ส. (อัมพรสถาน) ขึ้นในปีพุทธศักราช ๒๔๙๕     เพื่อให้เป็นสื่อกลางที่ให้ความบันเทิงและสาระประโยชน์ในด้านต่างๆ      พระราชทานชื่อว่า “วงลายคราม” ก็ได้มีการออกอากาศส่งวิทยุกระจายเสียงกับวงดนตรีต่างๆด้วย ต่อมาโปรดเกล้า ฯ ให้นักดนตรีรุ่นหนุ่มมาเล่นดนตรีร่วมกับวงลายคราม จึงเกิดเป็น วงดนตรี อ.ส.วันศุกร์ ขึ้น วงดนตรี อ.ส. วันศุกร์มีลักษณะพิเศษคือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงร่วมบรรเลงกับสมาชิกของวง ออกอากาศกระจายเสียงทางสถานีวิทยุประจำวันศุกร์ และยังทรงจัดรายการเพลงเอง ทรงเลือกแผ่นเสียงเองในระยะแรก บางครั้งก็โปรดเกล้า ฯ ให้มีการขอเพลง และจะทรงรับโทรศัพท์ด้วยพระองค์เองทุกวันศุกร์ และวันอาทิตย์เป็นวันฝึกซ้อม วงดนตรี อ.ส. วันศุกร์ ยังเป็นวงดนตรีที่โปรดให้ไปร่วมบรรเลงในงาน “วันทรงดนตรี” ตามที่มหาวิทยาลัยต่างๆ กราบบังคมทูลเชิญเสด็จฯ เพื่อทรงสังสรรค์ร่วมกับนิสิตนักศึกษา เป็นการส่วนพระองค์ ก่อนที่จะยกเลิกไป เพราะทรงมีพระราชกรณียกิจเพิ่มมากขึ้น 
        ในปีพุทธศักราช ๒๕๒๙ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงตั้งแตรวง “สหายพัฒนา” ขึ้นอีกวงหนึ่ง โดยโปรดฯให้รวบรวมผู้ปฏิบัติราชการใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท และโดยเสด็จฯในการพัฒนาภูมิภาคต่าง ๆ เป็นประจำ เช่น นักเกษตรหลวง คณะแพทย์อาสาสมัคร ข้าราชการในพระองค์ ราชองค์รักษ์ ตลอดจนเจ้าหน้าที่หน่วยรักษาความปลอดภัย ซึ่งส่วนใหญ่ไม่เคยเล่นดนตรีมาก่อน พระราชทานเวลาฝึกสอนในช่วงเวลาทรงออกพระกำลังในตอนค่ำของทุกๆวัน ทรงตั้งแตรวงขึ้นสำเร็จ และยังคงเล่นดนตรีเป็นประจำทุกค่ำของวันศุกร์ และวันอาทิตย์เป็นวันซ้อมร่วมกับนักดนตรี อ.ส.วันศุกร์ ณ สถานี อ.ส. และเกือบทุกเย็นกับวงสหายพัฒนา ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา จนถึงปัจจุบัน
        พระปรีชาสามารถในการทรงดนตรีของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นที่ประจักษ์ในนานาประเทศ ดังที่จะเห็นจากการที่ทรงเข้าร่วมบรรเลงดนตรีกับวงดนตรีของประเทศต่าง ๆ ที่เสด็จพระราชดำเนินเยือน ไม่ว่าวงดนตรีนั้น ๆ จะมีการเล่นดนตรีในแบบใด โดยมิได้ทรงเตรียมพระองค์มาก่อน นักดนตรีที่มีชื่อเสียงของโลกล้วนถวายการยกย่องพระองค์ในฐานะทรงเป็นนักดนตรีแจ๊สผู้มีอัจฉริยภาพสูงส่ง ดังเช่น เมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินประเทศออสเตรีย เมื่อเดือนตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๐๗ ประธานสถาบันการดนตรีและศิลปะแห่งกรุงเวียนนาได้ทูลเกล้า ฯ ถวายปริญญากิตติมศักดิ์แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในฐานะที่ทรงเป็นสมาชิกหมายเลข ๒๓ ซึ่งผู้ที่จะได้รับเกียรติเป็นสมาชิกกิตติมศักดิ์แห่งสถาบันนี้ได้ ส่วนใหญ่เป็นผู้มีอาชีพและผลงานด้านดนตรีและศิลปะดีเด่นเป็นที่ยอมรับของชาวโลกทั้งสิ้น
        
ด้านการดนตรีนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มิได้ทรงละเลยดนตรีไทย อันเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมของชาติ ได้มีพระราชดำริให้มีการรวบรวมเพลงไทยเดิมขึ้นไว้ แล้วบันทึกโน้ตเพลงไทยเดิมขึ้นเป็นหลักฐาน เพื่อที่จะได้พิมพ์เผยแพร่วิชาการดนตรีไทยในหมู่ประชาชนต่อไป ทรงริเริ่มให้มีการวิจัยเกี่ยวกับดนตรีไทยประเภทต่าง ๆ นอกจากนี้ ยังทรงได้ ริเริ่มให้นำเพลงสากลมาแต่งเป็นแนวเพลงไทย โดยโปรดเกล้า ฯ ให้นาย
เทวาประสิทธิ์ พาทยโกศล นำทำนองเพลงพระราชนิพนธ์ มหาจุฬาลงกรณ์ มาแต่งเป็นแนวไทย บรรเลงด้วยวงปี่พาทย์ เมื่อนำขึ้นบรรเลงถวายแล้วก็พระราชทานชื่อว่า เพลงมหาจุฬาลงกรณ์ เช่นเดียวกัน นับเป็นเพลงไทยเพลงแรกที่ประดิษฐ์ขึ้นจากเพลงไทยสากลตามพระราชดำริที่ทรงสร้างสรรค์
        พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้มีพระราชดำรัสเกี่ยวกับดนตรีแก่นักข่าวชาวอเมริกันในรายการเสียงแห่งวิทยุอเมริกา เมื่อวันที่ ๒๑ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๐๓ ความตอนหนึ่งว่า

        “ดนตรีเป็นส่วนหนึ่งของข้าพเจ้า จะเป็นแจ๊สหรือไม่ใช่แจ๊สก็ตาม ดนตรีล้วนอยู่ในตัวทุกคน เป็นส่วนที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตคนเรา สำหรับข้าพเจ้าดนตรีคือสิ่งประณีตงดงาม และทุกคนควรนิยมในคุณค่าของดนตรีทุกประเภท เพราะว่าดนตรีแต่ละประเภทต่างก็มีความเหมาะสมตามแต่โอกาสและอารมณ์ที่ต่างๆกันออกไป”
        ทรงเห็นว่า ดนตรี นอกจากจะให้ความบันเทิงแล้ว ควรจะเป็นสื่อสร้างสรรค์ชักนำให้คนเป็นคนดีของประเทศชาติและสังคม ดังพระราชดำรัสที่พระราชทานแก่คณะกรรมการสมาคมดนตรีแห่งประเทศไทย ณ ศาลาดุสิดาลัย เมื่อวันที่ ๑๖ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๒๔
มีความตอนหนึ่งดังนี้
        “...การดนตรีจึงมีความหมายสำคัญสำหรับประเทศชาติสำหรับสังคม ถ้าทำดี ๆ ก็ทำให้คนเขามีกำลังใจจะปฏิบัติงานการ ก็เป็นหน้าที่ส่วนหนึ่งที่ให้ความบันเทิง ทำให้คนที่กำลังท้อใจมีกำลังใจขึ้นมาได้ คือเร้าใจได้ คนกำลังไปทางหนึ่งทางที่ไม่ถูกต้อง ก็อาจจะดึงกลับมาในทางที่ถูกต้องได้ ฉะนั้น ดนตรีก็มีความสำคัญอย่างหนึ่ง จึงพูดได้กับท่านทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับการดนตรีในรูปการณ์ต่าง ๆ ว่า มีความสำคัญและต้องทำให้ถูกต้อง ต้องทำให้ดี ถูกต้องในทางหลักวิชาการดนตรีอย่างหนึ่ง และก็ถูกต้องตามหลักวิชาของผู้ที่มีศีลธรรม มีความซื่อสัตย์สุจริต ก็จะทำให้เป็นประโยชน์อย่างมาก เป็นประโยชน์ทั้งต่อส่วนรวมทั้งส่วนตัว เพราะก็อย่างที่กล่าวว่าเพลงนี้มันเกิดความปีติภายในของตัวเองได้
ความปีติในผู้อื่นได้ ก็เกิดความดีได้ความเสียก็ได้ ฉะนั้นก็ต้องมีความระมัดระวังให้ดี...

วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เนื้อเพลง ในหลวงของแผ่นดิน


มอง เห็นพระเจ้าอยู่หัว
ท่ามกลางคนมืดมัว เหมือนเห็นแสงทองส่อง
ใจ ตื้นตันเพียงได้มอง
พนมมือทั้งสอง ก้มลงกราบด้วยหัวใจ
มอง พระผู้ทรงเมตตา
เฝ้าดูแลประชา ทั่วอาณาใกล้ไกล
เมื่อยามอ่อนล้า หมดหวังพระองค์อยู่เป็นหลักนำหัวใจ
ยึดเหนี่ยวอยู่ภายในว่าวันพรุ่งนี้ยังมีหวัง
ในหลวงของแผ่นดิน
หล่อรวมให้เม็ดดินทรายกลายเป็นแผ่นดินที่ยิ่งใหญ่
หยดน้ำ หยาดเหงื่อพระองค์หยดลงที่ไหน
ทุกข์ร้อนจะพลันสลายทุกข์ภัยจะไม่อาจแผ้วพาน
ในหลวงของแผ่นดิน
ทรงเป็นที่รักและที่พึ่งพิงให้เราแสนนาน
ตั้งแต่เล็ก จนโตจำได้ทุกอย่าง
ใต้ร่มพระบริบาล สุขสราญด้วยความร่มเย็น
ในหลวงของแผ่นดิน
ทรงเป็นที่รักและที่พึ่งพิงให้เราแสนนาน
ตั้งแต่เล็ก จนโตจำได้ทุกอย่าง
ใต้ร่มพระบริบาล สุขสราญด้วยความร่มเย็น
แผ่นดินนี้คือบ้าน คือแดนสวรรค์ แสนสุขใจ
มีทุกอย่างที่ดีเพราะใคร ฉันจะไม่ลืม
ในหลวงของแผ่นดิน
หล่อรวมให้เม็ดดินทรายกลายเป็นแผ่นดินที่ยิ่งใหญ่
หยดน้ำ หยาดเหงื่อพระองค์หยดลงที่ไหน
ทุกข์ร้อนจะพลันสลายทุกข์ภัยจะไม่อาจแผ้วพาน
ในหลวงของแผ่นดิน
ทรงเป็นที่รักและที่พึ่งพิงให้เราแสนนาน
ตั้งแต่เล็ก จนโตจำได้ทุกอย่าง
ใต้ร่มพระบริบาล สุขสราญด้วยความร่มเย็น
แผ่นดินนี้คือบ้าน คือแดนสวรรค์ แสนสุขใจ
มีทุกอย่างที่ดีเพราะใคร ฉันจะไม่ลืม

ในหลวงกับสุดยอดแนวพระราชดำริแก้ไขวิกฤติน้ำท่วม


ในหลวงกับสุดยอดแนวพระราชดำริแก้ไขวิกฤติน้ำท่วม
ตลอดเวลา 60 กว่าปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่ทรงขึ้นครองสิริราชสมบัติเมื่อปี 2489 พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว ทรงทุ่มเทตรากตรำทำงานหนักเพื่อประชาชนคนไทยทั้งประเทศ ไม่เว้นแม้แต่ในยามที่ทรงพระประชวร และประทับรักษาพระองค์อยู่ภายในโรงพยาบาลศิริราช ก็ยังทรงมีพระราชกระแสรับสั่งให้คณะแพทย์, ข้าราชบริพารใกล้ชิด ตลอดจนเจ้าหน้าที่กรมชลประทาน เข้าเฝ้าฯถวายรายงานข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับวิกฤตการณ์น้ำท่วมครั้งร้ายแรงที่สุดของเมืองไทยในรอบครึ่งศตวรรษอย่างละเอียดทุกแง่มุม โดยได้พระราชทานคำแนะนำแนวทางในการแก้ไขปัญหาอุทกภัยใหญ่ออกมาต่อเนื่อง ด้วยความห่วงใยพสกนิกรของพระองค์อย่างแท้จริง
            และคงไม่มีใครในแผ่นดินสยามแห่งนี้ ที่จะรู้ซึ้งเข้าใจถึงวิธีการจัดการ “ทรัพยากรน้ำ” อย่างมีประสิทธิภาพ มากเท่ากับในหลวงของเรา โดยแนวพระราชดำริดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อพระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรยังภูมิภาคต่างๆทั่วประเทศ ตั้งแต่ปี 2495 เป็นต้นมา ทรงพบว่า ราษฎรต้องเผชิญกับปัญหาหลายประการเกี่ยวกับน้ำ ไม่ว่าจะเป็น น้ำแล้ง, ฝนทิ้งช่วง, ฝนไม่ตกในพื้นที่ที่ต้องการ รวมไปถึงปัญหาน้ำท่วม ทำให้ราษฎรไม่สามารถทำการเพาะปลูก อีกทั้งพืชผลยังเสียหายหนัก และน้ำเน่าเสีย ทำให้เกิดมลภาวะทางน้ำ ด้วยเหตุนี้ จึงทรงมีพระราชดำริให้จัดการทรัพยากรน้ำด้วยระบบชลประทานขึ้นเป็นครั้งแรก ณ อ่างเก็บน้ำเขาเต่า เมือปี 2506         ผลจากการเสด็จฯลงพื้นที่ศึกษาอย่างจริงจัง ทำให้พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวทรงตระหนักว่า การขาดแคลนน้ำทำการเกษตร คือปัญหาสำคัญที่สุดของเกษตรกรไทย จึงเน้นการทรงงานเพื่อแก้ปัญหาเรื่องน้ำ และบริหารจัดการให้เกิดสมดุลธรรมชาติเป็นหลักตลอดมา โดยการจัดการทรัพยากรน้ำตามแนวพระราชดำริ ผสมผสานกระบวนการและหลักวิชาการหลากหลายแขนงเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น เทคนิคด้านวิศวกรรมเพื่อสร้างฝาย, เขื่อน, อ่างเก็บน้ำ การวางระบบชลประทานเพื่อจัดหาน้ำและนำน้ำไปใช้ตามพื้นที่เกษตรกรรม อีกทั้งยังต้องอาศัยกระบวนการด้านเคมี, ฟิสิกส์ และอุตุนิยมวิทยา เพื่อทำฝนหลวง การคิดค้นเครื่องกลบำบัดน้ำเสีย เช่น กังหันน้ำชัยพัฒนา ตลอดจนการปลูกป่าด้วยวิธีต่างๆ เพื่อรักษาป่าต้นน้ำและป้องกันน้ำท่วม
            สำหรับวิกฤติน้ำท่วมใหญ่ของเมืองไทยขณะนี้ พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว ก็ทรงพระปริวิตกห่วงใยยิ่ง โดยทรงมีพระวิสัยทัศน์ยาวไกลเกี่ยวกับการ บริหารจัดการน้ำท่วม และได้พระ-ราชทานแนวทางแก้ไขปัญหาไว้อย่างเปี่ยมประสิทธิผล กลายเป็นที่มาของทฤษฎีแก้ไขปัญหาน้ำท่วมอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
            “การก่อสร้างคันกั้นน้ำเพื่อป้องกันน้ำท่วม” ถือเป็นแนวพระราชดำริซึ่งใช้ได้ผลดีมาแต่โบราณ โดยหลักการสำคัญคือ ควรก่อสร้างคันดินกั้นน้ำขนาดที่เหมาะสม ขนานไปตามลำน้ำห่างจากขอบตลิ่งพอสมควร เพื่อป้องกันมิให้น้ำล้นตลิ่งไปท่วมในพื้นที่ต่างๆด้านใน “การก่อสร้างทางผันน้ำ” เพื่อผันน้ำทั้งหมดหรือบางส่วนที่ล้นตลิ่งท่วมท้นให้ออกไป ต้องก่อสร้างทางผันน้ำหรือขุดคลองสายใหม่เชื่อมต่อกับลำน้ำที่มีปัญหาน้ำท่วม เพื่อให้น้ำไหลไปตามทางผันน้ำที่ขุดขึ้นใหม่ไปลงลำน้ำสายอื่นๆ หรือระบายออกสู่ทะเล สำหรับการบรรเทาความเสียหายจากน้ำท่วมขังสามารถทำได้โดย “การปรับปรุงและตกแต่งสภาพลำน้ำ”
            เพื่อให้น้ำที่ท่วมทะลักไหลไปตามลำน้ำสะดวกขึ้น โดยดำเนินการได้หลายวิธี อาทิ ขุดลอกลำน้ำตื้นเขินให้น้ำไหลสะดวกขึ้น, ตกแต่งดินตามลาดตลิ่งให้เรียบ มิให้เป็นอุปสรรคต่อทางเดินของน้ำ, กำจัดวัชพืช-ผักตบชวา และรื้อทำลายสิ่งกีดขวางทางน้ำไหลให้ออกไปจนหมดสิ้น หากลำน้ำคดโค้งมากก็ให้หาแนวทางขุดคลองใหม่เป็นลำน้ำสายตรงให้น้ำไหลสะดวก ขณะเดียวกัน การก่อสร้างเขื่อนเก็บกักน้ำที่ไหลท่วมล้นในฤดูน้ำหลาก ก็เป็นมาตรการป้องกันน้ำท่วมที่สำคัญเช่นกัน โดยทรงแนะนำว่า ควรเก็บไว้ทางด้านเหนือเขื่อนในลักษณะอ่างเก็บน้ำ ซึ่งปัจจุบันได้ดำเนินการตามพระราชดำริมากมายหลายแห่ง เช่น โครงการพัฒนาลุ่มน้ำป่าสักอันเนื่องมาจากพระราชดำริ, โครงการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนังอันเนื่องมาจากพระราชดำริ และโครงการพัฒนาลุ่มน้ำนครนายกตอนบน จังหวัดนครนายก
            พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ยังได้พระราชทานแนวทางสำคัญในการแก้ไขเยียวยาวิกฤติน้ำท่วมครั้งใหญ่ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลอย่างเร่งด่วน โดยให้ดำเนินการตามแนวทางของ “โครงการพระราชดำริแก้มลิง” เป็นหลัก เพราะสอดคล้องกับสภาพธรรมชาติดั้งเดิมของกรุงเทพฯที่มีลักษณะลุ่มต่ำ ทำให้การระบายน้ำยามเกิดภาวะน้ำท่วมเป็นไปอย่างล่าช้า ขณะเดียวกันคูคลองต่างๆก็มีความลาดเทน้อย ลำน้ำตื้นเขิน และยังมีวัชพืชปกคลุม ทำให้กีดขวางทางน้ำไหล และก่อให้เกิดน้ำท่วมขังเป็นเวลายาวนาน
            พระองค์ท่านได้พระราชทานพระราชอรรถาธิบายว่า “ลิง” โดยทั่วไปถ้าเราส่งกล้วยให้ “ลิง” จะรีบปอกแล้วเอาเข้าปากเคี้ยว และเอาไปเก็บไว้ที่แก้ม “ลิง” จะเอากล้วยเข้าไปไว้ที่กระพุ้งแก้มได้เกือบทั้งหวี โดยเอาไปไว้ที่แก้มก่อน แล้วจึงนำมาเคี้ยวและกลืนกินเข้าไปภายหลัง...เปรียบได้กับเมื่อเกิดน้ำท่วมก็ขุดคลองต่างๆ เพื่อชักน้ำให้มารวมกัน แล้วนำมาเก็บไว้เป็นบ่อพักน้ำแบบ “แก้มลิง” แล้วจึงระบายน้ำลงทะเลเมื่อปริมาณน้ำทะเลลดลง
            ภายใต้หลักการดังกล่าวจะต้องเริ่มดำเนินการด้วยการระบายน้ำออกจากพื้นที่ตอนบนให้ไหลไปตามคลองในแนวเหนือ-ใต้ลงคลอง จากนั้นพักน้ำขนาดใหญ่ที่บริเวณชายทะเล เช่น คลองชายทะเลของฝั่งตะวันออก ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นบ่อเก็บน้ำขนาดใหญ่ คือ “แก้มลิง” เมื่อระดับน้ำทะเลลดต่ำลงกว่าระดับน้ำในคลอง ก็ให้ระบายน้ำจากคลองดังกล่าวออกทางประตูระบายน้ำ โดยใช้หลักทฤษฎีแรงโน้มถ่วงโลกตามธรรมชาติ แล้วจึงสูบน้ำออกจากคลองที่ทำหน้าที่ “แก้มลิง” เพื่อให้ระบายออกในระดับต่ำที่สุดออกสู่ทะเล จะได้ทำให้น้ำตอนบนค่อยๆไหลมาเองตลอดเวลา ส่งผลให้ปริมาณน้ำท่วมพื้นที่ลดน้อยลง และเมื่อระดับน้ำทะเลสูงกว่าระดับน้ำในลำคลอง จึงทำการปิดประตูระบายน้ำ เพื่อป้องกันมิให้น้ำย้อนกลับ โดยยึดหลักน้ำไหลทางเดียว
            เพื่อสนองแนวพระราชดำริในการแก้ไขวิกฤติน้ำท่วมครั้งใหญ่ ควรพิจารณาเลือกลำคลองหนองบึงธรรมชาติ หรือพื้นที่ว่างเปล่านำมาใช้เป็นบ่อพักน้ำ โดยสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ส่วน คือ “โครงการแก้มลิงฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา” มีหน้าที่รับน้ำในพื้นที่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา นับตั้งแต่จังหวัดสระบุรี, อยุธยา, ปทุมธานี, นนทบุรี และกรุงเทพฯ มาตามคลองสายต่างๆ โดยใช้คลองชายทะเลที่ตั้งอยู่ริมทะเลด้านจังหวัดสมุทรปราการ เป็นบ่อพักน้ำหรือรับน้ำ ขณะเดียวกัน ก็ควรพิจารณาหาหนองบึงหรือพื้นที่ว่างเปล่าเป็นบ่อพักน้ำเพิ่มเติม โดยใช้คลองธรรมชาติในแนวเหนือ-ใต้ เช่น คลองพระองค์ไชยนุชิต, คลองบางปลา, คลองด่าน, คลองบางปิ้ง, คลองตำหรุ และคลองชายทะเล เป็นแหล่งระบายน้ำเข้าออกจากบ่อพักน้ำ ในส่วนของ “โครงการแก้มลิงฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา” จะทำหน้าที่รับน้ำในพื้นที่ฝั่งตะวันตก ตั้งแต่จังหวัดอ่างทอง, อยุธยา, ปทุมธานี, นครปฐม, กรุงเทพฯ และสมุทรสาคร ไปยังคลองมหาชัย, สนามชัย และแม่น้ำท่าจีน เพื่อระบายออกสู่ทะเลด้านจังหวัดสมุทรสาคร
            และเพื่อให้การระบายน้ำท่วมออกทะเลเร็วขึ้น และทันท่วงทียิ่งขึ้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังพระราชทานคำแนะนำเพิ่มเติมว่า ให้ดำเนินการตามแนวทางของโครงการแก้มลิง แม่น้ำท่าจีนตอนล่าง โดยใช้หลักในการควบคุมน้ำในแม่น้ำท่าจีน คือ เปิดระบายน้ำจำนวนมากลงสู่อ่าวไทยเมื่อระดับน้ำทะเลต่ำ และปิดกั้นไม่ให้น้ำจากด้านท้ายน้ำไหลรุกล้ำเข้าไปในแม่น้ำเมื่อน้ำทะเลมีระดับสูง หลักการนี้ถือเป็นโครงการอเนกประสงค์สำคัญยิ่งในอนาคตด้วย เพราะนอกจากจะช่วยบรรเทาอุทกภัยให้กับพื้นที่บางส่วนทางตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งแต่ตอนใต้ทางรถไฟสายใต้มาแล้ว ยังจะช่วยป้องกันการรุกล้ำของน้ำเค็มเข้าไปในแม่น้ำท่าจีนช่วงฤดูแล้ง โดยสามารถนำน้ำไปใช้ประโยชน์ในด้านการเกษตร, อุตสาหกรรม และอุปโภคบริโภคได้อีกด้วย พร้อมกันนี้ก็ให้ระบายน้ำลงสู่อ่าวไทยตามจังหวะการขึ้นลงของระดับน้ำทะเล โดยอาศัยแรงโน้มถ่วงของโลกและการสูบน้ำที่เหมาะสม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำตามคูคลองธรรมชาติในช่วงฤดูฝน ช่วยป้องกันการรุกล้ำของน้ำเค็มมิให้ไหลกลับเข้าแม่น้ำลำคลองและพื้นที่การเกษตร รวมทั้งสามารถเก็บกักน้ำจืดไว้ด้านเหนือประตูระบายน้ำ เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในด้านอื่นๆด้วย
            โชคดีเหลือเกินที่พวกเราเกิดมาบนแผ่นดินไทย...แผ่นดินทองที่มีพ่อหลวงผู้ทรงเสียสละ และอุทิศพระองค์อย่างมิรู้จักเหน็ดเหนื่อยเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน.

วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

HS1A ในหลวงกับวิทยุสื่อสาร


        "พระองค์ทรงเล็งเห็นถึงความสำคัญของการสื่อสารว่า การสื่อสารเป็นปัจจัยสำคัญในการดำเนินธุรกิจทุกประเภท, การสื่อสารเป็นหัวใจของความมั่นคงของประเทศ และการสื่อสารเป็นองค์ประกอบที่สำคัญยิ่งในการพัฒนาประเทศให้ประชาชนอยู่ดีกินดี"
๑. พระราชกรณียกิจด้านสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์
              พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสนพระทัยด้านการสื่อสารตั้งแต่ทรงพระเยาว์ "...ทรงทดลองต่อสายไฟพ่วงขนานกับลำโพงขยาย ของเครื่องรับวิทยุส่วนพระองค์ที่ผลิตจากประเทศสวีเดน ยี่ห้อ 'Centrum' จากห้องที่ประทับพระองค์ท่านไปยังห้องที่ประทับของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ทั้งสองพระองค์ทรงพอพระทัยในบริการเสียงตามสายไม่น้อย..." (สุชาติ เผือกสกนธ์, วันสื่อสารแห่งชาติ : ๒๕๓๐)
               พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงอุทิศพระองค์ พระอัจฉริยะและพระอุตสาหะทั้งมวล เพื่อราษฎรในทุกภูมิภาค พระองค์ทรงมีดำริให้มีการพัฒนาด้านระบบวิทยุสื่อสารอย่างจริงจัง และต่อเนื่อง และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น กล่าวคือสามารถรับส่งได้ไกลยิ่งขึ้น ดังจะเห็นได้จากการที่พระองค์ทรงใช้เครื่องมือสื่อสารพกติดพระองค์ เพื่อประกอบพระราชกรณียกิจต่างๆ อยู่เสมอ เพราะสิ่งที่พระองค์ทรงขาดไม่ได้คือการสดับตรับฟังข่าวทุกข์สุขของประชาชน ดังเช่น ในระหว่างการเสด็จเยี่ยมราษฎรได้ทรงพบว่า มีผู้ใดที่กำลังป่วยเจ็บจำเป็นต้องบำบัดรักษา จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้คณะแพทย์ผู้ตามเสด็จดูแลตรวจรักษาทันที ในบางรายที่มีอาการป่วยหนัก จำเป็นต้องส่งตัวเข้าบำบัดรักษาในโรงพยาบาลท้องถิ่นหรือโรงพยาบาลในกรุงเทพมหานครโดยเร็ว หากมีเวลาเพียงพอ พระองค์ท่านจะรับสั่งผ่านทางวิทยุถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ ตำรวจตระเวนชายแดน ขอรับการสนับสนุนเรื่องการขนส่ง เช่น เฮลิคอปเตอร์ เพื่อนำผู้ป่วยเจ็บส่งยังที่หมายปลายทางด้วยพระองค์เอง นอกจากนี้ พระองค์ได้ทรงพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้นำระบบสื่อสารแบบถ่ายทอดสัญญาณหรือ Repeater ซึ่งเชื่อมต่อทางวงจรทางไกลขององค์การโทรศัพท์ฯ ให้มูลนิธิแพทย์อาสาฯ (พอ.สว.) นำไปใช้เพื่อช่วยเหลือรักษาพยาบาลแก่ผู้เจ็บป่วยในท้องถิ่นห่างไกล
              ในเรื่องการปฏิบัติการฝนเทียมหรือฝนหลวงพระราชทาน ในการปฏิบัติระยะแรกๆ ได้ประสบปัญหาเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่ไม่ทราบล่วงหน้า ซึ่งนักบินผู้ปฏิบัติจำเป็นต้องได้รับคำแนะนำแก้ไขโดยฉับพลัน เนื่องจากยังไม่มีการติดต่อสื่อสารระหว่างผู้ปฏิบัติการด้วยกัน จึงเป็นเหตุให้ไม่ได้ผลเท่าที่ควร กล่าวคือฝนไม่ตกในเป้าหมายบ้าง ตกน้อย หรือไม่ตกตามที่คิดบ้าง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงสดับตรับฟังข่าวการปฏิบัติการฝนเทียมทุกครั้ง และทรงทราบถึงปัญหาสำคัญคือ การขาดการติดต่อสื่อสารที่ดี จึงโปรดเกล้าฯ ให้ติดตั้งวิทยุให้แก่หน่วยปฏิบัติการฝนเทียม ทั้งทางอากาศและทางภาคพื้นดิน
               นอกจากนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริให้ทำการศึกษาวิจัย รวมถึงการออกแบบและสร้างสายอากาศย่านความถี่สูงมาก หรือที่เรียกว่า VHF (วี.เอช.เอฟ) ขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ ๓ ประการ
ประการแรก เพื่อที่จะได้ใช้งานกับวิทยุส่วนพระองค์ ทั้งนี้โดยมีพระราชประสงค์ที่จะให้ทราบเหตุการณ์ต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของสาธารณภัยที่เกิดขึ้นกับประชาชน เรื่องไฟไหม้ เรื่องน้ำท่วม ฯลฯ ทั้งนี้เพื่อที่จะได้ทรงช่วยเหลือได้ทันท่วงที
ประการที่สอง เพื่อที่จะพระราชทานให้แก่หน่วยราชการต่างๆ
ประการที่สาม เพื่อส่งเสริมให้คนไทยที่มีความรู้ ความสามารถและตั้งใจจริง ได้ใช้ความอุตสาหวิริยะในการพัฒนาระบบวิทยุสื่อสารขึ้นใช้เองภายในประเทศ
                นอกเหนือจากวิทยุสื่อสารแล้ว ในเรื่องของเทเล็กซ์พระองค์ทรงสนพระทัยอยู่ไม่น้อย และสิ่งหนึ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่เคยทรงขาดคือ การพระราชทานพรปีใหม่ นอกจากจะทรงมีกระแสพระราชดำรัส พระราชทานพรปีใหม่แก่พสกนิกรไทยทางวิทยุและโทรทัศน์ทุกแห่งแล้ว พระองค์ท่านยังทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ พระราชทานพรทางเทเล็กซ์สม่ำเสมอทุกปี แต่ในปัจจุบันท่านทรงใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ในการประดิษฐ์บัตรอวยพรปีใหม่แทน
                นอกจากนี้พระองค์ทรงเล็งเห็นถึงความสำคัญของการสื่อสารว่า การสื่อสารเป็นปัจจัยสำคัญในการดำเนินธุรกิจทุกประเภท, การสื่อสารเป็นหัวใจของความมั่นคงของประเทศ และการสื่อสารเป็นองค์ประกอบที่สำคัญยิ่งในการพัฒนาประเทศให้ประชาชนอยู่ดีกินดี

๒. พระราชกรณียกิจด้านวิทยุกระจายเสียง
               พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงสนพระทัยในเรื่องวิทยุเป็นอย่างมาก ตั้งแต่เมื่อครั้งยังเยาว์ ซึ่งพระองค์ประทับอยู่ ณ เมืองโลซานน์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ พระองค์ได้ทรงซื้ออุปกรณ์เครื่องรับวิทยุ ซึ่งมีวางขายเลหลังราคาถูกทรงประกอบเป็นเครื่องรับวิทยุชนิดแร่ สามารถรับฟังวิทยุกระจายเสียงในยุโรปได้หลายแห่ง ต่อมาเมื่อกิจการวิทยุเจริญก้าวหน้ามากขึ้น ได้นำหลอดวิทยุมาใช้ในเครื่องรับ-ส่งวิทยุ และเครื่องขยายเสียง และพระองค์ท่านก็ได้ทรงทดลองอุปกรณ์แบบใหม่นี้ด้วยเช่นกัน
             เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินกลับมา ประทับอยู่ในประเทศไทยเป็นการถาวร ในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ พระองค์ได้ทรงตั้งสถานีวิทยุ อ.ส. ขึ้นที่พระราชวังสวนดุสิต และชื่อสถานีวิทยุดังกล่าวได้ทรงนำมาจากอักษรย่อของพระที่นั่งอัมพรสถาน ซึ่งเป็นสถานที่ที่ใช้ออกอากาศครั้งแรก ต่อมาจึงย้ายสถานีวิทยุ อ.ส. เข้าไปตั้งในบริเวณพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน
    สถานีวิทยุ อ.ส. เมื่อแรกตั้งเป็นสถานีเล็กๆ มีเครื่องส่ง ๒ เครื่อง ขนาดที่มีกำลังส่ง ๑๐๐ วัตต์ ออกอากาศด้วยคลื่นสั้นและคลื่นยาวในระบบ AM พร้อมๆ กัน เครื่องส่งรุ่นแรกนี้เป็นเครื่องที่ กรมประชาสัมพันธ์ทูลเกล้าฯ ถวายและติดตั้งให้ด้วยเมื่อออกอากาศไปได้ระยะหนึ่ง และในระบบคลื่นสั้นก็มีจดหมายรายงานผลการรับฟัง เข้ามาจากหลายประเทศ เช่น นิวซีแลนด์ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา เยอรมันฯ เป็นต้น ดังนั้นจึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้ขยายกำลังส่ง โดยมีชื่อรหัสสถานีว่า HS 1 AS ในปี พ.ศ. ๒๕๒๕ สถานีวิทยุ อ.ส. ได้เพิ่มการส่งกระจายเสียงในระบบ FM ขึ้นอีกระบบหนึ่ง ในการขยายด้านกำลังส่งนั้นอุปกรณ์ต่างๆ ล้วนแต่มีผู้โดยเสด็จพระราชกุศล เพื่อให้สถานีวิทยุ อ.ส. สามารถบริการประชาชนได้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น อาจถือได้ว่าเป็นสถานีวิทยุเอกชนเพียงแห่งเดียวที่สามารถกระจายเสียงคลื่นสั้นได้ ทั้งนี้เพราะถือว่าเป็นเครือข่ายกรมประชาสัมพันธ์
              พระองค์ทรงมีวัตถุประสงค์ที่ทรงตั้งสถานีวิทยุ อ.ส. เพื่อเปิดโอกาสให้พสกนิกรมีช่องทางในการติดต่อกับพระองค์ได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องผ่านกระบวนการขั้นตอนตามพิธีการเหมือนในสมัยก่อน ทรงใช้สถานีวิทยุเพื่อเป็นสื่อในการประชาสัมพันธ์ติดต่อข่าวสารกับประชาชน และเป็นสื่อสัมพันธ์ระหว่างพระองค์และประชาราษฎร์ ที่ทรงแสดงให้ทราบถึงใจรักที่พระองค์ท่านพระราชทานให้กับประชาชนทั่วทุกคน
          นอกเหนือจากเป็นสถานีวิทยุของสื่อมวลชนเพื่อการบันเทิง และเผยแพร่ความรู้กับประชาชนแล้ว ยังได้ทำหน้าที่แจ้งข่าวสารแก่ประชาชนในโอกาสสำคัญ หรือเกิดเหตุการณ์ที่สำคัญต่างๆ ขึ้น เช่น การเกิดโรคโปลีโอระบาดในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ อหิวาตกโรคในปี พ.ศ. ๒๕๐๑ และเมื่อเกิดวาตภัยที่แหลมตะลุมพุกในปี พ.ศ. ๒๕๐๕ โดยมีพระราชดำริให้ใช้สถานีวิทยุ อ.ส. เพื่อทำหน้าที่เป็นสื่อกลางในการช่วยเหลือผู้ประสบเคราะห์กรรม จนเป็นบ่อเกิดของมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ซึ่งปัจจุบันมีคุณขวัญแก้ว วัชโรทัย ทำหน้าที่นายสถานี เล่าให้ฟังว่า นโยบายหลักเกี่ยวกับการบริหารงานของสถานี ตามที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานไว้ก็คือ การเปิดโอกาสให้คนที่มีความรู้ ความสามารถ ไม่ว่าจะเป็นหน่วยราชการหรือเอกชน ได้เข้ามาสนองพระมหากรุณาธิคุณให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ดังนั้นเจ้าหน้าที่ของสถานีจึงเป็นอาสาสมัครทั้งสิ้น และทรงรับภาระต่างๆ ด้านสถานีด้วยทุนทรัพย์ส่วนพระองค์ พระองค์ทรงใช้นโยบายประหยัดและใช้ประโยชน์ให้คุ้มค่าที่สุด และในปัจจุบันนี้สถานีวิทยุ อ.ส. ยังคงกระจายเสียงเป็นประจำทุกวันเว้นวันจันทร์ โดยออกอากาศทั้งคลื่นสั้นและคลื่นยาว ในระบบ AM 1332 KHzและ FM 104 MHz ควบคู่กันไปด้วยกำลังส่ง ๑๐ กิโลวัตต์ โดยออกอากาศวันอังคารถึงวันเสาร์ เวลา ๑๐.๓๐-๑๒.๐๐ และ ๑๖.๐๐-๑๙.๐๐ วันอาทิตย์ เวลา ๙.๐๐-๑๒.๐๐ หยุดทุกวันจันทร์
๓. พระราชกรณียกิจด้านดาวเทียม
               ดาวเทียมไทยคมนับว่า เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้การสื่อสารโทรคมนาคมของไทยก้าวสู่ยุคแห่งความล้ำหน้า และได้เข้ามามีส่วนร่วมในการสนองพระราชดำริในเรื่องของการศึกษา คุณขวัญแก้ว วัชโรทัย เป็นผู้สนองพระราชภารกิจที่โรงเรียนไกลกังวล หัวหิน ซึ่งขณะนี้ได้พยายามที่จะนำเอาดาวเทียมไทยคมเข้าไปใช้ในกิจการด้านการเรียนการสอน เจตนารมณ์ดังกล่าวเป็นการสนองตอบความต้องการของประชาชน และเป็นการปรับปรุงในเรื่องของการศึกษาให้สอดคล้องกับยุคสมัยอีกด้วย อีกทั้งยังเป็นการจัดการศึกษาใต้ร่มพระบารมีอย่างแท้จริง และที่สำคัญเพื่อเป็นการสนองพระบรมราโชบายทางการศึกษา ในอันที่จะทำให้โรงเรียนไกลกังวลเป็นเครือข่ายและเป็นศูนย์กลางทางการศึกษาไทยคมอย่างแท้จริง
             กล่าวได้ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณเป็นอเนกอนันต์ต่อประเทศชาติ ที่ได้มีพระราชดำริให้มีการพัฒนางานทางระบบวิทยุสื่อสารขึ้นในประเทศอย่างจริงจัง และต่อเนื่อง เพราะสังคมปัจจุบันนั้น การสื่อสารก็เปรียบเสมือนกับระบบประสาทของร่างกายมนุษย์ ดังนั้นจึงนับได้ว่า พระองค์ท่านนั้นมีสายพระเนตรที่ยาวไกล ทรงเห็นบทบาทที่สำคัญยิ่งต่อการสื่อสาร
* รวบรวมและเรียบเรียงจากบทความในหนังสือ
การสื่อสารแห่งประเทศไทย.พระราชอัจฉริยภาพของพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้านการสื่อสาร (เนื่องในวันสื่อสารแห่งชาติ ๔ สิงหาคม ๒๕๓๐).กรุงเทพฯ : วิสคอมเซ็นเตอร์.๒๕๓๐.
หนังสือพิมพ์เดลินิวส์.ไทยคมกับการศึกษาใต้ร่มพระบารมี.๑๐ ตุลาคม ๒๕๓๗.